วัน อาทิตย์ ที่ 26 สิงหาคม 2555
(ตอนเช้า) ตื่นนอน อาบน้ำ ล้างหน้า แปรฟัน กินข้าว
(ตอนเย็น) ทำการบ้าน กินข้าวเย็น รีดผ้า ดูทีวี เข้านอน
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Varanus rudicollis |
ลักษณะทั่วไป : | ตัวสีดำเข้ม มีขนาดเล็กกว่าพวกเหี้ย หรือตะกวด มีลายเลือนๆ ขวางลำตัว ปากแหลมและเกล็ดบนสั้น เกล็ดบนคอใหญ่เป็นแหลมๆ คล้ายหนามทุเรียน |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | พบในภาคใต้ของประเทศไทยและพม่า หมู่เกาะสุมาตรา บอร์เนียว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เห่าช้างกินไก่ นก ปลา กบ เขียด กินได้ทั้งของสด และของเน่า |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ชอบอยู่ในป่าทึบและเดินหากินบนพื้นดิน แต่ก็ขึ้นต้นไม้เก่ง เป็นสัตว์ว่องไวปราดเรียวและซุกซ่อนตัวเก่ง ดุกว่าเหี้ย ถ้าเข้าใกล้จะพองคอขู่ฟ่อๆ เห่าช้างเริ่มผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม โดยวางไข่ตามหลุมที่ขุดเป็นโพรง เมื่อออกไข่แล้วจะไม่ฟักไข่ ลูกฟักออกจากไข่เองตามธรรมชาติ และเมื่อลูกออกจากไข่แล้วก็จะหากินเอง |
สถานภาพปัจจุบัน : | เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Siebenrockiella crassicollis |
ลักษณะทั่วไป : | เป็นเต่าขนาดเล็ก ยาวประมาณครึ่งฟุต หนักไม่ถึงครึ่งกิโลกรัม ตัวแบนไม่สวย กระดองดำ หัว หาง และขาดำ มีแต้มขาวเหนือตา แก้ม และตามใบหน้าอีกหลายแห่ง กระดองส่วนบนยาวเต็มที่ประมาณ 200 เซนติเมตร |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | พบในอินเดีย อินโดจีน มาเลเซีย สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ สำหรับประเทศไทยพบทั่วไป แต่มีมากในภาคกลาง และภาคใต้ เต่าดำกินหอย กุ้ง ผัก และเมล็ดพืชเป็นอาหาร |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ชอบกบดานหรือหากินตามพื้นดินโคลนใต้ น้ำ นาน ๆ จึงโผล่ขึ้นมาสักครั้ง ดังนั้นเวลาพบจึงเห็นตัวสกปรกเลอะโคลนอยู่เสมอ จะขึ้นบกเวลากลางคืน เพื่อต้องการหาทำเลวางไข่ หรือผสมพันธุ์ หรือย้ายที่ทำมาหากิน ส่วนกลางวันมักหมกตัวอยู่ในที่รก ชื้นแฉะ หรือตามโคลนใต้พื้นน้ำ |
สถานภาพปัจจุบัน : | เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์ดุสิต, สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์เชียงใหม่ |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Varanus salvator komaini |
ลักษณะทั่วไป : | มีขนาดเล็กกว่าเหี้ยมาก เมื่อโตเต็มวัยจากปลายากถึงโคนหาง 50 เซนติเมตร หางยาว 60 เซนติเมตร มังกรดำ สีดำสนิทด้านทั้งตัว ไม่มีลายและจุดด่างเลย ท้องเทาเข้ม ลิ้นสีเทาม่วง มังกรดำเป็น Monitor ชนิดที่พบใหม่ มีรูปลักษณะคล้ายเหี้ย ลักษณะของเกล็ดผิดเพี้ยนกันเพียงเล็กน้อย |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | มังกรดำพบได้เฉพาะบริเวณชายทะเลและเกาะเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกภาคใต้ของประเทศไทย |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | อุปนิสัยคล้ายตะกวดดำที่พบในปาปัวนิกินีมาก |
สถานภาพปัจจุบัน : |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์ดุสิต, สวนสัตว์นครราชสีมา |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Spizaetus cirrhatus |
ลักษณะทั่วไป : | เหยี่ยวต่างสีเป็นเหยี่ยวค่อนข้างใหญ่ ขนาดลำตัว 56 - 75 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน มีชนิดสีเข้มหรือดำ และสีอ่อน ชนิดสีอ่อนมีสีน้ำตาลเข้มตอนบนของตัว ตอนล่างมีสีขาว และมีลายเป็นทางเล็ก ๆ สั้น ๆ สีน้ำตาลตามหน้าอกและท้อง ขามีขนขึ้นเต็มและมีลายขวางเล็ก ๆ สีน้ำตาล ส่วนชนิดสีเข้มมีสีน้ำตาลไหม้ทั่วทั้งตัว ตลอดถึงขามีขนขึ้นเต็ม หางสั้นกว่าชนิดสีอ่อน การที่เหยี่ยวต่างสีมี 2 ชนิด ก็คล้ายกับพวกเสือดาวที่มีลูกออกมาเป็นสีดำได้ |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | เหยี่ยวต่างสีมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า ไทย ลาว เขมร เวียตนาม ฟิลิปปินส์ อันดามัน ซุนดาส์ สุมาตรา บอร์เนียว สำหรับประเทศไทยมีทั่วทุกภาค แต่พบไม่บ่อยและมีปริมาณไม่มากนัก อาหารได้แก่ หนู นกเล็ก ๆ ค้างคาว งู กิ้งก่า และสัตว์เล็ก ๆ เช่น กระต่าย อีเห็น |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | เหยี่ยวต่างสีชอบอาศัยอยู่ทั้งในป่าดง ดิบ ป่าทึบ ป่าสูง ตลอดจนป่าโปร่งและที่ราบสูง ชอบเกาะตามยอดไม้สูงเพื่อมองหาเหยื่อ ไม่ชอบบินร่อน เมื่อเห็นเหยื่อจะโฉบลงจับทันที พบได้ที่ความสูง 2,000 เมตรจากระดับ น้ำทะเล เหยี่ยวชนิดนี้ผสมพันธุ์หน้าหนาวและหน้าร้อน ผสมพันธุ์ทั้งในที่ราบและตามป่าเชิงเขาหรือตามป่าภูเขาสูง ทำรังตามต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้น้ำ หรือใกล้หมู่บ้าน ชอบทำรังตรงกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปเหนือน้ำหรือลำธารในป่า ทำรังด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ วางขัดสานกันอย่างเป็นระเบียบ จะวางไข่ 1 - 3 ฟอง ทั้งสองเพศช่วยกันฟักไข่ ใช้เวลาฟัก 40 วัน |
สถานภาพปัจจุบัน : | เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์สงขลา |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Cygnus atratus |
ลักษณะทั่วไป : | ตัวผู้มีสีขนทั่วตัวดำอมเทา ยกเว้นขนปีกสำหรับบินเส้นยาวเท่านั้นที่เป็นสีขาวซึ่งตัดกับลำตัวเห็นเด่น ชัดสะดุดตา นัยน์ตาสีแดงเข้ม จะงอยปากสีแดงแต่มีแถบขาว ปลายปาก ขาและเท้าสีดำ หงส์ดำตัวเมียเหมือนตัวผู้ทุกอย่าง แต่มีขนาดเล็กกว่าและลำคอสั้นกว่าเล็กน้อย |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | มีถิ่นอาศัยอยู่ในเกาะทัสมาเนีย ออสเตรเลีย หงษ์ดำพืชน้ำ ลูกกุ้ง ลูกปลา |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ชอบอยู่ตามแหล่งน้ำอันกว้างใหญ่ทั้ง น้ำจืดและน้ำเค็ม ทะเลสาบ แม่น้ำ หนองน้ำ ชอบอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ เสียงร้องเหมือนเสียงทรัมเป็ตมักร้องในตอนเย็นหรือกลางแสงจันทร์ในคืนเดือน หงายขณะกำลังบิน หงษ์ดำวางไข่ครั้งละ 5-6 ฟอง ไข่มีสีขาวแกมเขียว ระยะเวลาฟักไข่นาน 34-37 วัน |
สถานภาพปัจจุบัน : | - |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์สงขลา |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Sarkidiornis melanotos |
ลักษณะทั่วไป : | เป็นเป็ดป่าขนาดใหญ่ มีลำตัวยาวถึง 76 เซนติเมตร มีจะงอยปากสีดำ แถบบนปีกมีสีบรอนซ์สะดุดตา เป็ดตัวผู้มีส่วนหลังสีดำเหลือบสีเขียวแกมฟ้าและสีม่วง ส่วนหัวและลำคอสีขาว มีจุดประสีดำ มีแถบสีดำรอบด้านหลังคอพาดลงไปถึงด้านข้างของส่วนอก และอีกแถบหนึ่งพาดลงไปด้านข้างของส่วนหาง ขณะบินจะสังเกตเห็นแผ่นหลังส่วนล่างสีออกเทาชัดเจน ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้มีปุ่มเนื้อที่โคนจะงอยปากด้านบน ส่วนคอและที่ใกล้หาง ลูกเป็ดอายุน้อยลำตัวไม่ค่อยมีสีเหลือบและบริเวณแถบขาวมีสีคล้ำ |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | ชอบอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำที่มีพืชปก คลุม ทำรังในโพรงของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้น้ำ ตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ไปทางทิศตะวันออก ผ่านแคว้นอัสสัม พม่า ถึงบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังพบในทวีปแอฟริกาอีกด้วย อาหารได้แก่ ข้าวเปลือก เมล็ดหญ้า ลำต้นอ่อนของพืช และสัตว์น้ำ |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ปกติจะพบอาศัยอยู่เป็นกลุ่มครอบครัว หนึ่ง 4-10 ตัว หากินโดยการไซ้กินหัวและยอดอ่อน ตลอดจนเมล็ดของพืชน้ำ เมล็ดข้าว แมลงน้ำ บางครั้งพบกินกบ เขียดและปลาด้วย เป็ดป่าชนิดนี้เดิน และเกาะกิ่งไม้ได้ดี การเกาะกิ่งไม้ใช้กรงเล็บแหลมที่แข็งแรงเกาะ เป็ดหงษ์มีฤดูผสมพันธุ์ตกอยู่ในราวเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายน ในประเทศอินเดียมีรายงานว่าพบทำรังในรังเก่าของพวกแร้ง และในรูบนกำแพงป้อมเก่า ๆ และบนหน้าผาดิน วางไข่สีครีมจาง ๆ จำนวน 7-15 ฟอง เป็ดหงส์ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝน โดยทำรังวางไข่ตามโพรงต้นไม้ในป่า หรือต้นไม้ใกล้แหล่งน้ำ ไข่สีงาช้างเป็นมัน ไม่มีลวดลาย ตัวเมียฟักไข่นาน 29 - 31 วัน ส่วนตัวผู้จะคอยเฝ้าระวังภัยอยู่ใกล้ๆ |
สถานภาพปัจจุบัน : | พบน้อยมาก ปี พ.ศ. 2529 พบ 10 ตัว ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จังหวัดบุรีรัมย์ ปี พ.ศ. 2531 พบ 1 ตัว ที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงสภาพบริเวณบึง หนอง ตามธรรมชาติไปเป็นทุ่งนา สำหรับปลูกข้าว และการตัดฟันต้นไม้สูงๆ ลงเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการล่าเพื่อเป็นอาหารอย่างหนัก ทำให้ต้องสูญเสียแหล่งหากิน แหล่งทำรังและแหล่งพักนอนไป เป็ดหงส์จึงไม่ทำรังวางไข่ในประเทศไทยอีกต่อไป พบเฉพาะตัวที่บินมาหากินในฤดูหนาวในบริเวณอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บางแห่งเท่า นั้น จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์ดุสิต, สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์สงขลา |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Hylobates concolor |
ลักษณะทั่วไป : | ชะนีแก้มขาวมี 3 ชนิด คือ 1) H.c. concolor ชนิดนี้พบในเกาะไหหลำ ตัวผู้สีดำหมดทั้งตัว บริเวณใบหน้ามีขนสีขาวขึ้นแซมรอบดวงตา จมูกและปาก ส่วนตัวเมียสีนวลและมีสีดำอยู่กลางกระหม่อม 2) H.c. leucogenys ชนิดนี้อยู่ในประเทศลาวและเวียดนามเหนือ ตัวผู้มีสีดำ แต่ข้างแก้มมีสีขาว ส่วนตัวเมียมีสีทองหรือสีครีม ที่อกมีสีดำเรื่อ ๆ กลางกระหม่อมมีขนสีดำ 3) H.c. gabrieliae ชนิดนี้อยู่ทางใต้ของเวียดนามติดกับแดนเขมร ตัวผู้มีสีดำล้วน มีขนสีทองปนแดง บริเวณแก้มและคางมีสีขาว ตัวเมียมีสีนวล ที่หน้าอกเป็นสีดำเห็นได้ถนัด และที่หัวมีขนขึ้นเป็นสันสูงสีดำเห็นได้ชัด ชะนี แก้มขาวเกิดใหม่เป็นสีทอง เมื่ออายุ 6–8 เดือนมือเท้าและหัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ หลังจากนั้นทั้งตัวผู้และตัวเมียจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ส่วนแก้มมีสีขาว เมื่ออายุได้ประมาณ 6-7 ปี ตัวเมียขนจะเปลี่ยนเป็นสีทองหรือสีครีม โดยพวก H.c. leucogenys จะมีสีดำที่หน้าอก ส่วนพวก H.c. gabrieliae ทั้งหน้าอกจะมีสีดำและมีสันขนบนหัว ชะนีแก้มขาวเวลายืนไม่งอเข่าเหมือนชะนีชนิดอื่น ตัวผู้มีกล่องเสียง ทำให้ร้องเป็นช่วง ๆ ติดกันได้นาน ตัวเมียไม่มีกล่องเสียง การร้องจึงมีเสียงผิดกัน เครื่องเพศของทั้งตัวผู้และตัวเมียมีกระดูกอ่อนเสริมอยู่ทำให้ดูเพศยากเมื่อยังเล็กอยู่ หรือเมื่อขนทั่วตัวยังดำอยู่ยังไม่เปลี่ยนสี ให้สังเกตจากอัณฑะ ถ้าตัวใดมีแสดงว่าเป็นตัวผู้ |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | ชะนีแก้มขาวพบในประเทศลาว อินโดจีน ไหหลำ สำหรับประเทศไทยพบที่จังหวัดเลย อำเภอเชียงคาน เป็นชะนีที่หายาก กินผลไม้ ยอดไม้ ไข่นก และแมลงต่างๆ |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ชอบห้อยโหนไปตามกิ่งไม้ ไม่วิ่งไต่ไปบนต้นไม้ ใช้ชีวิตเกือบทั้งวันอยู่บนต้นไม้สูง เวลากินน้ำใช้หลังนิ้วแตะน้ำแล้วยกดูด บางทีใช้ลิ้นเลียตามแอ่งน้ำเล็ก ๆ ชอบร้องและผึ่งแดดเวลาเช้าตรู่บนกิ่งไม้ เวลากลางวันหรือตอนบ่ายที่อากาศร้อนจัด ชะนีจะลงมาจากยอดไม้สูงเพื่อหลบแสงแดด เวลาตกใจจะเหวี่ยงตัวโหนไปตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว และไปหลบอยู่ตามพุ่มไม้หนาๆ เหยี่ยวและงูเหลือมเป็นศัตรูสำคัญของชะนี เมื่อมีอายุ 7-8 ปีจึงจะผสมพันธุ์ได้ ตั้งท้องนานประมาณ 240 วัน ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกชะนีหย่านมเมื่ออายุ 4-7 เดือน และจะอยู่กับแม่จนอายุประมาณ 2 ปี จึงแยกไปหากินเอง ชะนีอายุยืนถึง 30 ปี |
สถานภาพปัจจุบัน : | เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์ดุสิต, สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์สงขลา |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Halobates agilis |
ลักษณะทั่วไป : | ชะนีมือดำมีรูปร่างสีสันคล้ายชะนีมือขาวมาก ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะไม่มีการเปลี่ยนสี เช่นถ้าเกิดมามีสีดำก็จะมีสีดำไปตลอด ทั้งสองเพศอาจมีสีขาวหรือสีดำก็ได้ ชะนีมือดำไม่มีวงขาวรอบใบหน้า แต่บางตัวก็อาจมีเป็นรอยขาวจางๆ และที่คิ้วเป็นสีขาว |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | พบทางภาคใต้ของประเทศไทย มาเลเซีย สุมาตรา และบอร์เนียว กินผลไม้ ยอดไม้ ไข่นก และแมลงต่าง ๆ |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ชอบห้อยโหนไปตามกิ่งไม้ ใช้ชีวิตเกือบทั้งวันอยู่บนต้นไม้สูง เวลากินน้ำใช้หลังนิ้วแตะน้ำและยกดูด ชอบร้องและผึ่งแดดเวลาเช้าตรู่บนกิ่งไม้ เวลาอากาศร้อนจัดจะลงมาจากต้นไม้สูงเพื่อหลบแดด เวลาตกใจจะเหวี่ยงตัวโหนไปตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว เหยี่ยวและงูเหลือมเป็นศัตรูสำคัญของชะนี ชะนีผสมพันธุ์ตอนอายุ 7-8 ปี ตั้งท้องประมาณ 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกชะนีจะหย่านมเมื่ออายุ 4-7 เดือน จนอายุ 2 ปีจะแยกไปหากินเอง ชะนีอาจมีอายุยืนถึง 30 ปี |
สถานภาพปัจจุบัน : | เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์สงขลา |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : | Prionodon linsang |
ลักษณะทั่วไป : | ลำตัวเพรียว หางยาว แต่ขาสั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเดินไต่อยู่ตามกิ่งไม้จึงดูคล้ายงูมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชะมดแปลงลายแถบต่างกับชะมดแปลงลายจุดตรงที่จุดบนหลังติดกันกลายเป็นแถบคดเคี้ยวขวางหลังของ สัตว์ มีอยู่ทั้งหมด 5 แถบ และตามด้านข้างของคอและลำตัว จุดจะติดกัน กลายเป็นแถบคดเคี้ยวมีอยู่ด้านละ 2 แถบ สีพื้นของตัวเป็นสีน้ำตาลแกมเหลืองซีด ๆ หางมีปล้องสีขาวสลับดำอยู่ 7 ปล้อง ไม่มีขนแผงคอหรือแผงหลังและไม่มีต่อมกลิ่น อุ้งเล็บมีปลอกหุ้ม สามารถเอาเล็บออกมาใช้ได้ทันทีเหมือนกับแมวหรือเสือ |
ถิ่นอาศัย, อาหาร : | ชะมดแปลงลายแถบพบในป่าตามแนวเทือกเขาตะนาวศรี ทางภาคใต้ของประเทศไทย มาเลเซีย สุมาตรา ชวาและบอร์เนียว เป็นสัตว์หายาก เป็นสัตว์กิน นก หนูที่อยู่ตามต้นไม้ งู และสัตว์เล็กอื่น ๆ นอกจากนี้ยังกินแมลงที่ตัวโตๆ |
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : | ชะมดแปลงลายแถบเป็นสัตว์หากินกลางคืน อาศัยอยู่ในป่าที่ค่อนข้างรกทึบ ส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ บางครั้งอาจลงมาบนพื้นดินบ้างเพื่อหาอาหาร ชะมดแปลงลายแถบผสมพันธุ์ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม มีผู้พบว่าชะมดแปลงแถบสร้างรังออกลูกด้วยเรียวไม้และใบไม้อยู่ในโพรงดินโคนต้นไม้ใหญ่ ออกลูกครั้งละ 2–3 ตัว มีอายุยืนเกือบ 10 ปี |
สถานภาพปัจจุบัน : | เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 |
สถานที่ชม : | สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์นครราชสีมา |